วันนี้เป็นวันที่สองที่ฉันได้เข้ามาทำงานในโรงค้าไม้กือหลีหน้าบ้านนี่เอง นับจากวันที่ 1 พ.ย. 2554 ที่ฉันได้ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากการทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ธุรการงานอาคารสถานที่ของวิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง ฉันทำงานที่เทคนิคอ่างทองมา 12 ปี ไม่มีอะไรดีขึ้น เงินเดือน 6,100 บาท ที่ได้มาก็เพิ่งจะได้มาเมื่อก่อนลาออกไม่กี่เดือน ถึงแม้จะมีเงินทำงานล่วงเวลาอีกวันละ 100 บาท แต่ใน 1 เดือน ต้องไม่เกิน 22 วัน นั่นคือ เต็มที่ 2,200 บาท ส่วนเรื่องค่าครองชีพสำหรับผู้ที่มีเงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาทนั้น ก็ได้บ้างเป็นบางภาคเรียน แรก ๆ ได้เฉลี่ยกันคนละ 500 บาท ต่อมาก็มีการประเมินจากคณะกรรมการผู้ที่มีความยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง และจัดระดับการจ่ายเงินค่าครองชีพออกเป็น 3 ระดับ คือ 700 , 1,000 และ 1,500 บาท แน่นอน ฉันอยู่ในกลุ่ม 700 บาท ต่ำสุด รุ่งขึ้นก็มีการประกาศคะแนนที่กรรมการผู้ประเมินให้แก่พวกฉัน ซึ่งฉันทำงานมา กว่า 10 ปี ได้คะแนประเมิน 70 กว่า ๆ ส่วนคนที่เพิ่งทำงานได้ไม่ถึง 6 เดือน ได้คะแนน ระดับ 85 ขึ้นไปทั้งนั้น แต่ก็ยังไม่ได้คิดมากอะไร เพราะว่าพวกครู ๆ ที่เค้าทราบเรื่องต่างวิพากษ์วิจารณ์ (ด่า) กรรมการกันทั้งสิ้น ต่อมาก็ถัวเฉลี่ยให้คนละ 1,000 บาทเป็นเวลา 5 เดือน ปกติแล้วพวกฉันเป็นลูกจ้างชั่วคราว ต้องต่อสัญญาทุกปี แรก ๆ ถึงเวลาก็นำเอกสารมาต่อสัญญา พอมาช่วงซัก 4 - 5 ปีหลังมานี่ (นับปี 2554 เป็นปีแรกแล้วย้อนกลับไป 2553) พวกฉันต้องสอบเพื่อคัดเลือกเข้าเป็นลูกจ้างชั่วคราวทุกปี ตามระเบียบที่วิทยาลัยฯ อ้างถึง ต้องทำบันทึกการปฏิบัติหน้าที่ประจำวันว่าวัน ๆ นึงของพวกฉันทำอะไรบ้าง มีปัญหาอะไร แก้ไขหรือยัง มีแนวทางในการพัฒนางานยังไง โดยเฉพาะปี 2553 - 2554 อยู่ดี ๆ มีบันทึกเลิกจ้างจากทางวิทยาลัยฯ ช่วงที่ฉันได้สิทธิ์หยุดงานตอนปิดเทอมพอดี ให้มาทำการสมัครสอบใหม่หมดทุกอย่างโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ ฉันก็มาสมัครสอบใหม่ บังเอิญว่ามีน้องคนหนึ่งเพิ่งจะคลอดลูกได้ 2 - 3 วัน ก็ต้องมาสมัครและมาสอบทั้ง ๆ ที่นมคัด น้ำนมไหลเปียกอยู่ยังงั้น รายการต่อมาก็คือหมดสัญญาจ้างสิ้นเดือนกันยายน คราวนี้ฉันไม่ต้องสอบ แต่สัญญาต่อแค่สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2555 โดยวิทยาลัยฯ แจ้งว่าหากต่อสัญญาปีละ 1 ครั้งเหมือนเดิม จะต้องมีการสอบตามระเบียบ และก็ยังต้องทำบันทึกการปฏิบัติงานประจำวันรายงานเหมือนเดิม แล้วอนาคตของฉันจะเป็นอย่างไรต่อไป
มาช่วงน้ำท่วมปี 2554 โรงค้าไม้กือหลีได้สอบถามฉันว่าพอจะมีเด็กจบใหม่ที่เป็นคอมพิวเตอร์บ้างไหม เพราะว่าเครือซีเมนต์ไทยจะนำโปรแกรม พร้อมเครื่องคอมพิวเตอร์มาลงให้ที่ร้าน ต้องการคนมาทำงานด้วยแต่ไม่อยากประกาศรับหน้าร้าน เนื่องจากต้องการคนที่คุ้นเคย และมีพื้นเพที่ทางร้านรู้จัก ฉันเลยตัดสินใจลาออกมาจากวิทยาลัยเทคนิคอ่างทอง เพื่อมาทำงานที่โรงค้าไม้กือหลี โดยทางโรงไม้ให้เงินเดือนในขั้นต้น 6,500 บาท ซึ่งน้องชายของฉันได้เข้ามาทำงานอยู่ที่ร้านนี้ก่อนแล้ว จากที่เห็นน้องชายฉันได้เงินเดือนขึ้นบ่อย ปีละครั้งหรือสองครั้ง ได้โบนัสตอนตรุษจีน และนายจ้างก็ใจดีซื้อกับข้าว ของกิน ขนมสารพัดให้มา อีกทั้งยังอยู่ใกล้บ้าน เข้างาน 08.00 น. เลิกงาน 17.00 น. ไม่ต้องขับรถไกล ๆ เพื่อที่จะเข้างานให้ทัน 07.45 น. และเลิกงานตอน 18.30 น. ไม่ต้องมีเจ้านายหลายคน ซึ่งแต่ละคนต่างก็ต้องการให้ได้มาซึ่งงานที่ตัวเองสั่งการและต้องได้ผลที่ดีมาก ๆ ด้วย จนหลาย ๆ ครั้งที่ไม่นึกถึงจิตใจของผู้ปฏิบัติงานเท่าไหร่นัก ฉันคิดว่าฉันตัดสินใจถูก
ถึงแม่ว่าฉันจะต้องทำงานวันจันทร์ - เสาร์ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีวันหยุดพิเศษเหมือนกับที่เคยหยุดมาเมื่อตอนทำงานที่เทคนิคอ่างทอง แต่สิ่งที่ฉันได้กลับมาคือมีเงินเดือนขึ้น มีโบนัส ได้ส่งหลาน ๆ กลับบ้าน ได้เห็นหน้าพ่อ - แม่ สามเวลา อีกอย่าง หากพ่อ - แม่ เป็นอะไรไปก็จะได้อยู่ดูใจกันทัน ไม่ใช่ว่าฉันแช่งพ่อแม่นะคะ แต่บทเรียนจากที่อาเจ็กเสียเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2554 นั่นเป็นเครื่องเตือนใจฉันได้อย่างดี มาจนวันนี้ฉันยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียครั้งนั้น หากฉันทำใจได้เมื่อไหร่ ก็จะเขียนบันทึก ถ้าเขียนตอนนี้ฉันต้องร้องให้แน่ ๆ มาว่ากันต่อเรื่องย้ายที่ทำงาน ด้วยความเคยชินกับความสบายที่ได้รับมาสมัยก่อ่น ในบางครั้งมันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่า "นี่ฉันคิดผิดหรือถูก ฉันเสียวันหยุดตามราชการตั้งหลายวัน แถมต้องทำงานวันเสาร์ อีกทั้งยังไม่ได้ไปเที่ยวไหน ๆ เหมือนก่อน" แต่พอมาคิดในด้านความสบายใจ สบายกาย ฉันคิดว่าอยู่ทีบ้านนี่แหละดีแล้ว อยากจะเข้า กทม. ตามหลานไป ก็ไปตอนงานเลิกก็ได้ หรือขอออกก่อนเวลาซักชั่วโมงก็ได้ หรือถ้าจะไปหาเซกิ ไปดูละคร ก็ลาสิคะ จะหักเงินก็หักไป เพราะสังคมของฉันมาไกลแล้ว การที่จะให้ทิ้งสังคมของฉันไปก็ไม่มีทาง ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียกชื่อสินค้าภาษาที่ทางร้านใช้ขายอยู่ กับภาษาเรียกสินค้าที่โปรแกรมกำหนดมามันไม่ตรงกันนัก ฉันก็จะเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ของแบบนี้ต้องใช้เวลา ไม่มีใครเรียกถูกมาตั้งแต่เกิด ทำบ่อย ๆ เข้าก็ซึมซับไปเอง ต่อไปจะได้ช่วยเค้าขายของหน้าร้านตอนยุ่ง ๆ ได้บ้าง เขียนบิลเป็นบ้าง ฉันไม่มีถอยอยู่แล้ว แต่ท้อน่ะมีบ้าง ยากกว่านี้ก็ทำกันมาแล้ว แต่พอมานึกถึงความลำบากใจเมื่อตอนที่อยู่เทคนิคอ่างทองมันทำให้ฉันมีแรงฮึด ฉันไม่ต้องโดนคำสั่งมาทำงานวันหยุด ไม่ต้องโดนคำสั่งทำแฟ้มประเมินต่าง ๆ จนเที่ยงคืน ตี 1 ตี 2 แล้วก็ขี่รถเครื่องกลับบ้าน ไม่ต้องฝ่าฝน ไม่ต้องฝ่าลมหนาว รวมทั้งไม่ต้องเสียใจเพราะคน ๆ นั้น ตอนนี้ฉันอาจจะเสียใจอยู่ในหลาย ๆ เรื่องกับคน ๆ นั้น แต่ต่อไปฉันใจของฉันจะดีเหมือนเดิม ฉันเข้มแข็งน่า ไม่อย่างนั้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ฉันคงจะฆ่าตัวตายไปนานแล้ว อุปสรรคจิ๋ว ๆ แค่นี้ ฉันจะผ่านมันไปให้ได้ และด้วยดีด้วย.....สู้ ๆ ไฟว์โตะ...กัมบัตเตะ...กัมบัตตะเนะ...^_^ ฉันจะยิ้มสู้ชีวิตเสมอ
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
MEETING With SEIGI OZEKI & SEIGIOZEKICLUB (2 กุมภาพันธ์ 2554)
หัวหน้าแก้งค์ของเราปรากฏตัวเวลา 20.30 น. ซึ่งมาทีหลังฉันอีก (ฉันว่าฉันช้าแล้วนะเนี่ยเพราะว่ารถติดมั่ก ๆ ) Seigi มาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ๆ ที่เป็นกันเอง แน่นอนในมือถือของฝากมาด้วย ซึ่งก็เป็นโปสเตอร์ภาพยนต์ SAMURAI AYOTHAYA แถมยังแจกลายเซ็นให้กันสด ๆ (ซึ่งปากกาที่เซ็นก็เป็นของที่ร้านค่ะ ฉันเดินไปขอยืมมาพระเอกของเรามิพกมาค่า) เซ็นเสร็จแล้วก็แจกให้พวกเราทุกคน แล้วก็ยังมีพวงกุญแจน่ารัก ๆ อีกหลายแบบให้เราได้ล้วงมือลงไปจับกันตามดวง 555
บรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนาน เป็นกันเอง อบอุ่น นาน ๆ เพื่อน ๆ จะมาเจอกันซักทีเลยถาม - ตอบกันให้วุ่นไปหมด จน Seigi ฟังไม่ทันต้องบอกให้พูดทีละคน ซักถามประวัติกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทำงานที่ไหน อยู่ที่ไหน มีพี่น้องกี่คน (จำได้รึเปล่าล่ะนั่น) ฉันคิดว่าทุกคนคงจะมีความสุขกันอย่างมากมาย นับเป็นวันที่ดีจริง ๆ ที่เราได้มาเจอกัน รู้จักกัน ต้องขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้พวกเรามาเจอกันจริงไหมคะ ความเป็นเพื่อนกัน มิตรภาพที่มีให้กันไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา อายุ และเพศ รอยยิ้ม คำพูด และทุก ๆ สิ่งที่เรามอบให้แก่กันและกันเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ และแน่นอนไม่มีอะไรจะมาตีค่า ตีราคาของคำว่า "เพื่อน" และ "มิตรภาพ" ได้เลยเพราะมันมีค่ามากมายกว่าที่พวกเราจะคิดเชียวค่ะ
ต้องขอขอบคุณทุก ๆ คนที่มอบมิตรภาพดี ๆ ให้แก่กันและกัน ต้องขอบคุณ Seigi ที่ไม่เคยทำให้พวกเราผิดหวัง เสมอต้นเสมอปลายตลอด หวังว่าความทรงจำดี ๆ ในวันนี้จะเป็นกำลังใจให้กับพวกเราทุกคนที่จะดำเนินชีวิตต่อไป ไม่ว่าจะมีปัญหากันมากขนาดไหน ลองย้อนกลับมานึกถึงวันนี้ เราก็จะมีกำลังใจขึ้นมาสู้ชีวิตกันอีกมากเลยค่ะ
อ้อ...รู้สึกว่าฉันล้วง (ของขวัญ) ได้เป็นเจ้าแมงมุมสีดำตัวนี้มาค่ะ น่ารักน่าหยิก ตั้งชื่อแล้วว่า Koufuku - san (โควฮุคุซัง = คุณความสุขค่ะ) เพราะฉันมีความสุขมากจริง ๆ
Arigato Gozaimasu ka Seigi. I very happy ka. MATANE ka.
สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น (23 มีนาคม 2554)
วันที่ 11 มีนาคม 2554 โลกต้องตะลึงกับเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในประเทศญี่ปุ่น จากการที่ประเทศญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงส่งผลให้เกิดคลื่นสึนามิที่ทางภาคอีสานของประเทศญี่ปุ่น รวมทั้ง ฟุกุชิมะ เมืองที่ครอบครัวของเซกิซังอาศัยอยู่ที่นั่นด้วย! ครั้งแรกที่ได้ยินข่าว สิ่งแรกที่นึกถึงคือ คุณแม่ของเซกิจะเป็นอย่างไรบ้างท่านอายุมากแล้ว จนกระทั่งเซกิส่งข่าวมาว่าท่านปลอดภัยดีรวมทั้งพี่สาวและครอบครัวของพี่สาวด้วย ค่อยโล่งอกหน่อย แต่เหมือนชะตากรรมซ้ำเติม โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จำนวน 4 โรงงาน เริ่มมีปัญหาเนื่องจากระบบหล่อเย็นไม่ทำงานเนื่องจากได้รับความเสียหายจากสึนามิ โรงไฟฟ้าระเบิด มีรังสีหลุดออกมาทำให้ต้องอพยพประชาชนออกโดยเร็วแรก ๆ ก็ ในรัศมี 20 กิโลเมตร วันต่อมาก็ 30 กิโลเมตร สอบถามเซกิว่าแม่เป็นอย่างไรบ้าง ก็ได้คำตอบว่า บ้านอยู่ห่างจากทะเล 50 กิโลเมตรกว่า ๆ ไม่มีปัญหา (ใจเย็นกันเหลือเกิน) หลังจากได้คำตอบนี้ 2 วัน มีประกาศให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่โรงไฟฟ้ารัศมี 80 กิโลเมตร เซกิก็ส่งข่าวว่าคุณแม่ต้องอพยพไปอยู่กับญาติ ใจฉันคิดว่า แม่ต้องลำบากอีกแล้ว อยู่ที่บ้านถึงแม้จะไม่มีน้ำใช้แต่ก็ยังมีไฟฟ้า นั่นหมายถึงแม่จะไม่ต้องลำบากกับอากาศที่หนาวเย็น อาหารและน้ำดื่มก็ปันส่วนกันไป แล้วนี่แม่ต้องย้ายที่อยู่จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ แต่คุณลูกชายส่งข่าวมาว่าแม่สบายดี ปลอดภัย ฉันก็ต้องเชื่อว่าปลอดภัย
เรามาช่วยกันอธิษฐานให้ประเทศญี่ปุ่นผ่านพ้นสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ไปได้ด้วยนะคะ Pray For Japan และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต รวมทั้งผู้ที่สูญหาย และขอเป็นกำลังใจให้แก่ชาวญี่ปุ่นทุกท่านด้วยค่ะ อย่าเพิ่งท้อใจนะคะ ต้องเข้มแข็งตอนนี้ชาวไทยกำลังรวบรวมความช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือส่งไปให้ท่านอยู่ค่ะ ครั้งที่ไทยพบกับปัญหาสึนามิ ท่านก็ให้ความช่วยเหลือเราอย่างเต็มที่ มาคราวนี้ ไม่ต้องห่วงค่ะ พวกเราไม่ทิ้งท่านแน่นอน เราก็จะช่วยเหลือท่านอย่างเต็มที่เช่นเดียวกันค่ะ ตอนนี้เรามาให้กำลังใจชาวญี่ปุ่นทุกคนกันด้วย MV นี้นะคะ ขอบคุณพี่บอย โกสิยพงษ์ด้วยค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=1A1W3l9UKcs&feature=player_embedded#at=22
เรามาช่วยกันอธิษฐานให้ประเทศญี่ปุ่นผ่านพ้นสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ไปได้ด้วยนะคะ Pray For Japan และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต รวมทั้งผู้ที่สูญหาย และขอเป็นกำลังใจให้แก่ชาวญี่ปุ่นทุกท่านด้วยค่ะ อย่าเพิ่งท้อใจนะคะ ต้องเข้มแข็งตอนนี้ชาวไทยกำลังรวบรวมความช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือส่งไปให้ท่านอยู่ค่ะ ครั้งที่ไทยพบกับปัญหาสึนามิ ท่านก็ให้ความช่วยเหลือเราอย่างเต็มที่ มาคราวนี้ ไม่ต้องห่วงค่ะ พวกเราไม่ทิ้งท่านแน่นอน เราก็จะช่วยเหลือท่านอย่างเต็มที่เช่นเดียวกันค่ะ ตอนนี้เรามาให้กำลังใจชาวญี่ปุ่นทุกคนกันด้วย MV นี้นะคะ ขอบคุณพี่บอย โกสิยพงษ์ด้วยค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=1A1W3l9UKcs&feature=player_embedded#at=22
ละครเวทีเรื่องแรกในชีวิต (5 กันยายน 2553)
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (4ก.ย. 53) ช่วงค่ำ ๆ 19.30 น. มีโอกาสไปดูละครเวทีเรื่อง น้ำใสใจจริงเดอะมิวสิคัล โดยน้ำใสใจจริงนี้เป็นนวนิยาย ประพันธ์โดยคุณ ว.วินิจฉัยกุล จัดโดย Dreambox ที่โรงละคร M Theatre
ซึ่งมาจองบัตรไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน รวมทั้งมีโอกาสไปงานแถลงข่าวเปิดตัวละครเวทีเรื่องนี้มาด้วย ซึ่งถือได้ว่าละครเวทีเรื่องนี้เป็นละครเวทีเรื่องแรกที่ตัดสินใจไปดู ยอมรับว่ามีเหตุผลหลายเหตุผลที่ตัดสินใจไปดูละครเรื่องนี้
ประการแรกคือค้องการไปให้กำลังใจทีมงานและศิลปินทุก ๆ คนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดทำผลงานชิ้นนี้ขึ้นมา ถ้านับกันจริง ๆ รายชื่อคงจะยาวเหยียด เท่าที่พอจะนับได้ก็มีดังต่อไปนี้
1. บทละครและคำร้อง คุณดารกา วงศ์ศิริ ประการแรกคือค้องการไปให้กำลังใจทีมงานและศิลปินทุก ๆ คนที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดทำผลงานชิ้นนี้ขึ้นมา ถ้านับกันจริง ๆ รายชื่อคงจะยาวเหยียด เท่าที่พอจะนับได้ก็มีดังต่อไปนี้
2. กำกับและประพันธ์ดนตรีโดย พี่ไก่ คุณสุธี แสงเสรีชน
3. กำกับการแสดงโดย พี่ลิง คุณสุวรรณดี จักราวรวุธ
4. พี่ ๆ ทีมงาน DB อีกมากมาย
มาดูทางฝั่งศิลปินกันบ้าง ก็มี คุณตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ , ปุยฝ้าย AF4 คุณณัฏฐพัชร วิพัธครตระกูล ,
คุณนรินทร ณ บางช้าง , คุณศรัณย์ ทองปาน , คุณสมพล ปิยะพงศ์ศิริ , คุณพุทธชาติ จึงไพศาล , คัตโตะ ลิปตา น้องบอย AF3 , น้องมิวสิค AF4 , น้องกู๊ด AF4 , น้องชัย , น้องเอื้อ เอื้ออาทร , แล้วก็ที่ขาดเสียไม่ได้แอร์โฮสเตสคนสวย น้องแอ๋ม รวมทั้งอีกหลาย ๆ ชีวิตที่มาร่วมเป็นหมู่มวลของน้ำใสใจจริงเดอะมิวสิคัล อีกคนก็คือน้องมังคุด (ชื่อในเรื่อง) เรียกเสียงฮาได้ไม่แพ้ใคร

หลังจากที่ได้ดูละครเรื่องนี้จนจบ บอกได้คำเดียวว่าสนุกมาก ประทับใจทุก ๆ ฉาก ที่มากที่สุดก็เห็นจะเป็นฉากที่พระเอก (โจม) พานางเอก (ครีม) ไปดูสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งที่บ้านนอกมีเยอะแยะเลย...หุ...หุ โดยการประสานความสัมพันธ์ของ เพื่อนนางเอก (อ้อม) ซึ่งก๋ากั่นไม่ใช่เบา แล้วก็ฉากที่น้องหมาบอยขออาศัยอยู่ในหอด้วย ชอบค่ะ อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกเลย รู้แต่ว่าจะเสียดายมาก ๆ ถ้าไม่ได้ดู
ละครเรื่องนี้ให้อะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในชีวิตช่วงหนึ่งของพวกเราทุก ๆ คน ตั้งแต่เริ่มแสดงก็คือทุก ๆ คนมีพื้นฐานชีวิตที่ไม่เหมือนกัน บางคนมาจากครอบครัวที่มีพร้อม ดีพร้อม ในขณะที่บางคนมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างขัดสน ทุก ๆ คนที่มาอยู่รวมกันในมหาวิทยาลัยฯ บ้านนอกนี้มีหลากหลายนิสัย บางคนเจ้าชู้ บางคนก๋ากั่น บางคนเรียบร้อย บางคนเอาแต่ใจ ขาวีน บางคนธรรมะธรรมโม บางคนเก็บกด อ่อนแอ บางคนต้องการความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและหน้าที่การงาน ฯลฯ ซึ่งในชีวิตจริง ๆ เราก็เจอคนแบบนั้นเหมือนกัน สมัยเรียนเราชอบแหกกฎ ระเบียบ เริ่มมีความรักและแอบรัก กังวลว่าผลสอบจะเป็นยังไง จีบสาว (หนุ่ม) แบบไหนจึงจะดี ความชอบของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่ทุก ๆ คนก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ดีกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ดี
ละครเรื่องนี้เหมือนกระจกเงาที่สะท้อนเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาสำหรับใครหลาย ๆ คน รวมทั้งบอกถึงเรื่องราวในอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับน้อง ๆ อีกหลาย ๆ คนที่อยู่ในวัยเรียน แต่ตอนนี้ความรู้สึกก็คือเริ่มจะรักละครเวทีซะแล้วสิเนี่ย...เรา...ขอขอบคุณทีมงานและศิลปินทุก ๆ ท่านที่ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจอย่างสุดความสามารถในทุก ๆ รอบของการแสดง ขอบคุณที่ทำให้พวกเราได้นึกถึงอดีตที่ผ่านมาในวัยเรียนว่าเรามีความสุข ความทุกข์อย่างไร ต้องพยายามกันขนาดไหนกว่าจะประสบความสำเร็จ...ทุก ๆ สิ่ง...คือ...น้ำใสใจจริงที่พวกเรามอบให้แก่กัน...
คู่กรรม เดอะ มิวสิคัล Koogam On Screen (21 กันยายน 2553)

โดยส่วนตัวแล้วชอบนวนิยายเรื่องนี้มากมาย อ่านทีไรร้องไห้ได้ทุกครั้ง พอมาเป็นละครทีวีทางช่อง 7 นำแสดงโดยพี่เบิร์ด และน้องกวาง ก็ยังซาบซึ้งเหลือหลาย จำได้ว่าถ้าคู่กรรมเล่นเมื่อไรถนนจะว่างทันที...หุ...หุ ยิ่งตอนจบ โกโบริกำลังจะตายด้วยแล้ว แม่ค้าเลิกขายของกันเลยทีเดียวค่ะ น้ำตาท่วมจอ


แต่น่าเสียดายมาก ๆ ที่ พี่ลิง ไม่ยอมใจอ่อน นำ คู่กรรม เดอะ มิวสิคัล มาลงแผ่นให้พวกเราได้จับจองเป็นเจ้าของกัน อ้อนก็แล้ว ขู่ก็แล้ว เหลือแต่บีบคอที่ยังไม่ได้ทำ 555+ แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ วันเกิดของคู่กรรม เดอะ มิวสิคัลเมื่อไรก็จัดฉายให้พวกเราได้ดูกันให้หายคิดถึงก็ได้ค่ะ (จะได้ดูว่าตอนเด็ก ๆ หน้าตานักแสดงเป็นยังไง)
ประทับใจค่ะ ชอบมาก ๆ ๆ ๆ มันเป็นเรื่องราวจริง ๆ ละครเวทีเรื่องนี้ ต้องใช้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความสามารถ ความอดทน ฮึด อึด แรงกาย แรงใจ และกำลังใจ และผลที่ได้รับกลับมาก็คือ คุ้มค่าจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณ Dreambox ขอบคุณพี่ลิง ขอบคุณพี่ไก่ ขอบคุณ Seigi ขอบคุณ คุณน้ำมนต์ ขอบคุณทีมงานและนักแสดงทุก ๆ ท่านที่ทำให้เกิด คู่กรรม เดอะ มิวสิคัล ขึ้นมาในวันนี้ ทุกฉาก ทุกตอน ทุกเนื้อร้อง ทุกทำนอง เปี่ยมไปด้วยความพยายาม อดทน ทุ่มเทอย่างเต็มที่ ขอบคุณจากใจค่ะ
ยินดีด้วยกัยฑูตวัฒนธรรมไทย ประจำปี 2554 (15 พฤศจิกายน 2554)
เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2553 เวลา 14.00 น. ณ โรงละครแห่งชาติ (โรงเล็ก) ได้มีการเปิดตัวภาพยนต์อิงประวัติศาสตร์ เรื่อง ซามูไรอโยธยา (Yamada The Samurai Of Ayothaya) ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง คือ ท่านยามะดะ นางามาสะ ซึ่งสวมบทบาทโดย Seigi Ozeki (เซกิ โอเซกิ) ที่เข้ามาทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และรักในแผ่นดินไทยยิ่งชีวิต "ถึงแม้มิใช่แผ่นดินเกิด แต่จักขอเป็นแผ่นดินตาย" มีนักแสดงนำคือ
ขอแสดงความยินดีกับคุณเซกิ โอเซกิ และคุณบัวขาว ป. ประมุข (อีกครั้ง...หลังจากที่ร่วมแสดงความยินดีกันไปแล้วเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 53) ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนอันทรงเกียรติในครั้งนี้ โดยเฉพาะ คุณเซกิ เป็นคนต่างชาติที่มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะเรียนรู้ภาษาไทย ศิลปะวัฒนธรรมไทย ประเพณีไทย รวมทั้งการใช้ชีวิตแบบไทย ๆ จนเดี๋ยวนี้แทบจะกลายเป็นคนไทยคนหนึ่งแล้วค่ะ คุณเซกิ มีความตั้งใจในการทำงานทุกชิ้นให้ออกมาดีที่สุด ทำงานอย่างสุดความสามารถ ยกนิ้วโป้งให้เลยค่ะ จากนี้ไปท่านฑูตทั้งสองคงจะมีภาระกิจมากมายในการเผยแพร่ และแลกเปลี่ยนศิลปะวัฒนธรรมระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ขอให้ตั้งใจ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดนะคะ ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้ค่ะ Seigi Ozeki Fight... , คุณบัวขาว สู้ ๆ ค่ะ...^U^
คุณ Seigi Ozeki , คุณสรพงษ์ ชาตรี , คุณธรรมรส ใจชื่น , คุณบัวขาว ป. ประมุข , คุณวินัย ไกรบุตร และนักแสดงร่วมอีกมากมาย ซึ่งล้วนแต่ฝีมือจัดจ้านในการแสดงทั้งสิ้น
กำกับการแสดงโดย คุณนพพร วาทิน
ขอบคุณ http://www.youtube.com/ และข้อมูลจาก http://www.thaicinema.com/
และเนื่องในโอกาสนี้สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยได้แต่งตั้งให้นักแสดงนำของเรื่อง คือ คุณเซกิ โอเซกิ และ คุณบัวขาว ป. ประมุข เป็นฑูตวัฒนธรรมไทย โดยมีคุณวิฑูรย์ กรุณา อดีตดาราชั้นนำของไทยเป็นประธานในการคัดเลือก และเป็นผู้มอบประกาศเกียรติคุณอันทรงเกียรตินี้ให้กับนักแสดงทั้งสองท่าน
ขอแสดงความยินดีกับคุณเซกิ โอเซกิ และคุณบัวขาว ป. ประมุข (อีกครั้ง...หลังจากที่ร่วมแสดงความยินดีกันไปแล้วเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 53) ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นตัวแทนอันทรงเกียรติในครั้งนี้ โดยเฉพาะ คุณเซกิ เป็นคนต่างชาติที่มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะเรียนรู้ภาษาไทย ศิลปะวัฒนธรรมไทย ประเพณีไทย รวมทั้งการใช้ชีวิตแบบไทย ๆ จนเดี๋ยวนี้แทบจะกลายเป็นคนไทยคนหนึ่งแล้วค่ะ คุณเซกิ มีความตั้งใจในการทำงานทุกชิ้นให้ออกมาดีที่สุด ทำงานอย่างสุดความสามารถ ยกนิ้วโป้งให้เลยค่ะ จากนี้ไปท่านฑูตทั้งสองคงจะมีภาระกิจมากมายในการเผยแพร่ และแลกเปลี่ยนศิลปะวัฒนธรรมระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ขอให้ตั้งใจ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดนะคะ ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้ค่ะ Seigi Ozeki Fight... , คุณบัวขาว สู้ ๆ ค่ะ...^U^
Yamada ซามูไรอโยธยา หนังดีที่น่าติดตาม (2 ธันวาคม 2553)
เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ฉันได้มีโอกาสไปชมภาพยนต์ YAMADA ซามูไร อโยธยา รอบสื่อมวลชน ที่สยามพารากอน โดยภายในงานจัดให้มีการสัมภาษณ์นักแสดงบนเวที พร้อมทั้งจัดโชว์ศิลปะมวยไทย พร้อมทั้งจัดของว่าง ประกอบด้วย ซูชิ ข้าวยำทอด โดรายากิไส้ถั่วแดง ลูกชุบ และน้ำดื่มไว้ให้บริการแก่สื่อมวลชนและผู้เข้าร่วมงาน บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก สื่อมวลชนพร้อมทั้งนักแสดงนำ ผู้กำกับภาพยนต์ และผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง แต่ฉันไม่ทราบว่าทางสยามพารากอนจะเปิดเครื่องปรับอากาศเบาไป หรือว่าเพราะจำนวนผู้ที่มาร่วมงานมีมากมาย จนทำให้อากาศร้อนพอสมควร (Seigi โพสต์ท่าถ่ายรูปไปก็ซับเหงื่อไปพลาง แถมยังแอบกระซิบถามฉันอีกต่างหากว่าร้อนมั้ย 555+ ฉันก็ตอบว่าร้อนเหมือนกันแหละ ก็มันร้อนนี่หว่า สภาพเช็ดเหงื่อไม่ต่างกันหรอก) เมื่อให้สัมภาษณ์และถ่ายภาพกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเข้าชมภาพยนต์กันตอน 20.30 น. ฉันมีความรู้สึกว่า ภาพยนต์เรื่องนี้ทำให้ฉันรักในบ้านเกิดเมืองนอน และศัทราในคำว่า เพื่อนขึ้นอีกมากมาย ฉันรู้สึกขอบคุณภาพยนต์เรื่องนี้มากที่นำมาฉายได้ถูกจังหวะเวลา ในช่วงที่ประชาชนชาวไทยแบ่งเป็นสี แบ่งเป็นมาตรฐาน และเนื่องจากฉันได้ติดตามและรับรู้ถึงเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนต์เรื่องนี้มาพอสมควร จึงทราบถึงความยากลำบากในการถ่ายทำ อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ความทุ่มเทแรงกาย แรงใจของทีมงานและนักแสดงทุก ๆ ชีวิต ขอบคุณพี่มด นพพร วาทิน ผู้กำกับผู้ทุ่มเท ขอบคุณ Seigi Ozeki พยายามเป็นอย่างยิ่ง ทุ่มเท มานะ บากบั่น เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด ขอบคุณนักแสดงทุกท่านที่ฝากฝีมือไว้กับภาพยนต์เรื่องนี้อย่างเต็มที่ ขอบคุณทีมงานทุก ๆ คน ที่สร้างสรรค์ผลงานให้พวกเราได้ยลโฉมกัน YAMADA ซามูไร อโยธยา ฉายแล้วที่โรงภาพยนต์วันนี้ (2 ธ.ค. 53) เชิญเพื่อน ๆ ทุกท่านไปชมความยิ่งใหญ่ของภาพยนต์เรื่องนี้กันนะคะ
YAMADA ซามูไร อโยธยา นำแสดงโดย Seigi Ozeki ธรรมรส ใจชื่น บัวขาว ป. ประมุข สรพงษ์ ชาตรี และนักแสดงสมทบอีกคับคั่ง กำกับการแสดงโดย นพพร วาทิน
ขอบคุณภาพจากทีมงานมหากาพย์ค่ะ
Yamada Samurai Ayothaya (13 ธันวาคม 2553)
ซามูไรอโยธยา (YAMADA) หลังจากที่ฉันได้ไปชมภาพยนต์เรื่องนี้รอบสื่อมวลชนที่ผ่านมาแล้ว ก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องหาเวลาไปดูซ้ำให้ได้อีกซัก 3 รอบ (จนมาถึงวันนี้ ก็ 4 รอบแล้วค่ะ) เพราะว่าฉากแต่ละฉากสวยงามมาก สมจริง แอ็คชั่นเร้าใจ เล่นจริง เจ็บจริง เก็บรายละเอียดได้ดีมากทุกฉาก มีคำพูด คม ๆ แฝงไว้ในเรื่องโดยตลอด มีทั้งแอ็คชั่นและดราม่า คุ้มค่าจริง ๆ ค่ะ การถ่ายทำก็ละเอียด เดินเรื่องไม่สับสน ทุก ๆ ฝ่ายทุ่มเทในการทำงานอย่างจริงจัง ทั้งเบื้องหลัง และนักแสดง
เรียกว่ายอมเล่นจริง เจ็บจริงกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะพระเอกของเรื่อง ท่านยามาดะ นางามาสะ ซึ่งสวมบทบาทโดยนายแบบหนุ่มหน้าใสจากแดนอาทิตย์อุทัย Seigi Ozeki ซึ่งฝากผลงานให้พวกเราได้ยลโฉมกันมาแล้วใน คู่กรรม เดอะมิวสิคัล , คู่แรด และนอกจากนี้ยังมีมิวสิควิดีโอ ฯลฯ Seigi ทุ่มเทกับภาพยนต์เรื่องนี้เป็นอย่างมาก ตั้งใจที่จะเปิดเผยตัวตนของท่านยามาดะอย่างเต็มที่ ทั้งซ้อมมวยไทย ตั้งใจพูดภาษาไทยให้ชัดที่สุด ฝึกการออกเสียงทั้งตัว ร , ล และตัวควบกล้ำ ถึงแม้ว่าจะยังฟังดูแปร่ง ๆ ไปบ้าง แต่เทียบกับความตั้งใจแล้วเอาคะแนนเต็มไปเลยค่ะ ยังไม่รวมถึงที่บาดเจ็บระหว่างถ่ายทำ เรียกว่า Seigi - san มีแรง มีฝีมือเท่าไหร่งัดออกมาแสดงอย่างเต็มที่แหละค่า
หลังจากที่ชมภาพยนต์เรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก อยากบอกว่าไม่เบื่อเลยค่ะ ยิ่งดูยิ่งรักเมืองไทย โดยส่วนตัวแล้วฉันชอบภาพยนต์แนวนี้มาก ไม่ว่าจะเป็น สุริโยทัย , ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช , พระเจ้าตากสิน หรือแม้แต่ละครทีวีเรื่องทวิภพ มันทำให้ฉันนึกอยู่เสมอว่าถ้าคนไทยไม่สามัคคีกัน แก่งแย่งกันเป็นใหญ่ จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศของเรา ที่ผ่านมาเราเจ็บช้ำมามากกับการเสียดินแดน ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็ตาม ความเจ็บปวดจากการเสียดินแดนนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกที่จะต้องเป็นทาส เป็นเชลย ไม่ได้เจ็บปวดแค่ร่างกาย แต่มันเจ็บปวด ร้าวรานในจิตใจที่ถูกเหยียบย่ำจนศักดิ์ศรีความเป็นคนไม่มีเหลือ เราคงไม่อยากเห็นประเทศไทยในปัจจุบันเป็นแบบเดียวกับในอดีต เพราะฉะนั้นพวกเราต้องช่วยกัน รักและสามัคคีกันเพื่อนำพาประเทศไทยให้อยู่รอดต่อไป เหมือนกับท่านยามาดะ ที่มีความรักในแผ่นดินไทยจนฝากชีวิต ฝากร่างกายและจิตใจไว้ที่เมืองไทยค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
แด่...นังสางหมาวัด
รูปนี้เป็นรูปสุดท้ายของนังสาง ถ่ายไว้เมื่อช่วงเย็นวันที่ 27 ตุลาคม 2564 ที่วัดขวิด บ้านใหม่ของนาง นางมาอยู่ที่นี่ได้ไง บ้านเก่านางล่ะ ท...

-
วันเสาร์ที่ผ่านมา (18 กันยายน 2553) ได้มีโอกาสไปเยือนที่โรงละคร M Theatre อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ไปมาก็หลายครั้งแล้ว 555+ ในวันนี้...
-
เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ฉันได้มีโอกาสไปชมภาพยนต์ YAMADA ซามูไร อโยธยา รอบสื่อมวลชน ที่สยามพารากอน โดยภายในงานจัดให้มีการสัมภาษณ์...
-
แม่นาค เดอะมิวสิคัล ที่สุดแห่งมิวสิคัลส่งท้ายปี 2562 ปิดฉากการแสดงไปอย่างสุดแสนประทับใจ กับ "แม่นาค เดอะมิวสิคัล...